รศ.พญ.พรอำภา บรรจงมณี
รศ.พญ.อัจฉรา ตั้งสถาพรพงษ์
คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โรคไข้อีดำอีแดง
(scarlet fever) พบบ่อยในเด็กอายุระหว่าง
5-15 ปี
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย group A Streptococcus สามารถสร้างสารพิษที่เรียกว่า erythrogenic
toxin ทำให้เกิดผื่นในโรคไข้อีดำอีแดง เมื่อปี พ.ศ. 2561 สำนักระบาดวิทยาได้รับรายงานโรคไข้อีดำอีแดงจำนวน 3,162 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 4.83 ต่อแสนประชากร ส่วนในปี พ.ศ. 2562 (1 ม.ค. ถึง 30 ส.ค.) พบผู้ป่วย 1,694 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 2.59 ต่อแสนประชากร พบบ่อยในเด็กอายุ 4-9 ปี ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
ได้มีประเด็นคำถามจากแพทย์เกี่ยวกับแนวทางการวินิจฉัย การรักษารวมถึงภาวะแทรกซ้อน
และการป้องกันโรคไข้อีดำอีแดง ดังนี้
คำถามที่ 1 ผู้ป่วยอายุ 7 ปี ให้ประวัติว่าเมื่อ 10 วันก่อนมีไข้สูง เจ็บคอ 8
วันก่อนเริ่มมีผื่นขึ้นเป็นเม็ดเล็กๆ ที่หน้า คอ ลำตัว และกระจายไปทั่วตัวภายใน
2 วัน เมื่อ 2 วันก่อนผิวหนังเริ่มลอกเป็นแผ่นๆ ที่ลำตัว มือ เท้า ดังแสดงในรูปที่ 1-3 หากแพทย์สงสัยว่าจะเป็นโรคไข้อีดำอีแดง จะมีแนวทางในการวินิจฉัยอย่างไร
ตอบ โรคนี้สามารถวินิจฉัยได้จากการซักประวัติ
อาการและอาการแสดงของโรค โดยผู้ป่วยจะมีไข้สูง เจ็บคอ ทอนซิลมีหนองและบวมแดง
หลังจากมีไข้ 1-2 วันจะเริ่มมีผื่นเม็ดเล็กสีแดง
เริ่มที่ คอ หน้าอก และกระจายไปทั่วตัวในเวลา 2-3 วัน ผื่นจะสากเหมือนกระดาษทราย (sandpaper
like) พบผื่นหนาแน่นบริเวณข้อพับเรียกว่า
Pastia’s lines แก้มจะแดงแต่รอบปากจะขาวซีดเรียก
circumoral pallor ช่วง 2-3 วันแรกลิ้นจะขาวแต่ tongue papillae จะแดงเรียกว่า white
strawberry tongue ในวันที่ 4-5 ฝ้าขาวที่ลิ้นจะหายไป
เห็นลิ้นแดงมาก และ tongue papillae เป็นตุ่มนูนแดงเรียกว่า
red strawberry tongue หลังจากผื่นจางได้ 1 สัปดาห์ ผิวหนังจะเริ่มลอกเป็นแผ่นที่รักแร้
ขาหนีบ ปลายนิ้วมือและเท้า ส่วนลำตัวมักลอกเป็นขุยๆ
การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติอื่นๆ
เช่น CBC พบเม็ดเลือดขาวสูง 12,000-18,000 เซลล์/ไมโครลิตร และเป็นชนิดนิวโตรฟิลเด่น ส่วนในสัปดาห์ที่สอง สามารถพบเม็ดเลือดขาวชนิดอีโอซิโนฟิลสูงได้
หากต้องการยืนยันการวินิจฉัยสามารถทำได้โดยการเพาะเชื้อจากลำคอซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-5 วัน มีความไวร้อยละ 90 ปัจจุบันมีชุดตรวจชนิดรวดเร็ว
(rapid antigen detection test; RADT) ทราบผลได้รวดเร็วภายใน
1 ชั่วโมง มีความไวร้อยละ 70-90
หากผลตรวจ RADT เป็นลบแต่แพทย์สงสัยว่าจะเป็นโรคไข้อีดำอีแดงให้พิจารณาส่งเพาะเชื้อจากลำคอซ้ำ
คำถามที่ 2 การให้ยาปฏิชีวนะจะมีประโยชน์หรือไม่หากคนไข้มีอาการมา
10 วันแล้ว และควรเลือกให้ยาปฏิชีวนะตัวใด
ตอบ แนะนำให้ยาปฏิชีวนะรักษาผู้ป่วยโรคไข้อีดำอีแดงทุกราย
เพื่อลดระยะเวลาป่วย ลดการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิด
และป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยยาจะเป็นกลุ่มเดียวกับที่ใช้รักษาโรคคอหอยและทอนซิลอักเสบจากแบคทีเรียกรุ๊ปเอ สเตรปโตคอคคัส คือยากลุ่ม penicillin แต่ถ้าผู้ป่วยมีประวัติแพ้ยา penicillin
ชนิด immediate type hypersensitivity ให้เลือกใช้ยากลุ่ม
macrolides หรือ clindamycin แทน หากแพ้ชนิด nonimmediate type hypersensitivity ให้เลือกใช้ยากลุ่ม cephalosporins แทนได้ (รายละเอียดดังตารางที่ 1)
ตารางที่ 1 ยาปฏิชีวนะที่แนะนำให้ใช้ในการรักษาโรคไข้อีดำอีแดง
ยา |
ขนาด |
ระยะเวลา |
|
||
|
วัยรุ่น/ผู้ใหญ่
250 มก. วันละ 4 ครั้ง หรือ 500 มก.
วันละ 2 ครั้ง |
|
|
ทางเลือก 25 มก./กก. (ขนาดสูงสุด
500 มก.) วันละ 2 ครั้ง |
|
|
> 27 กก. ให้ 1,200,000 ยูนิต |
|
|
||
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
คำถามที่ 3 ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในโรคไข้อีดำอีแดงมีอะไรบ้าง
ตอบ พบได้ค่อนข้างน้อย แบ่งเป็น
2 ชนิด ได้แก่ ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการลุกลามของเชื้อไปบริเวณใกล้เคียง (suppurative complications) ได้แก่ หูชั้นกลางอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคออักเสบ peritonsillar abscess, retropharyngeal abscess และการลุกลามของเชื้อไปยังเนื้อเยื่อชั้นลึกบริเวณคอหรือกระจายเข้าสู่กระแสเลือด
ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่เป็นผลจากปฏิกิริยาทางระบบอิมมูน
ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะอื่นๆ (non-suppurative complications) ได้แก่ rheumatic fever, rheumatic heart
disease และ acute poststreptococcal glomerulonephritis
คำถามที่ 4 แนวทางในการป้องกันโรคสำหรับผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโรคไข้อีดำอีแดงมีอะไรบ้าง
ตอบ โรคนี้สามารถติดต่อจากคนสู่คนโดยการหายใจสูดเอาละอองฝอยของเสมหะ
น้ำมูก น้ำลายที่มีเชื้อ หรือสัมผัสผ่านทางมือ สิ่งของเครื่องใช้ เช่น จาน ชาม
แก้วน้ำ เป็นต้น เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียกรุ๊ปเอ
สเตรปโตคอคคัส ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
หากมีความจำเป็นควรใส่หน้ากากอนามัย อย่าใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่นโดยเฉพาะของใช้ส่วนตัว
หมั่นล้างมือให้สะอาดทั้งก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วย หากผู้สัมผัสใกล้ชิดเริ่มมีไข้
เจ็บคอให้รีบไปพบแพทย์ โดยผู้ป่วยโรคไข้อีดำอีแดงจะหยุดแพร่เชื้อภายหลังรับประทานยาปฏิชีวนะอย่างน้อย
24 ชั่วโมง
เอกสารอ้างอิง
1. Center for Disease Control and
Prevention [Internet]. Group A streptococcal (GAS) disease. [cited on 2019 Sep
12]. Available from: https://www.cdc.gov/groupastrep/diseases-hcp/scarlet-fever.html.
2. American Academy of Pediatrics. Group
A streptococcal infections. In: Kimberlin DW, Brady MT, Jackson MA, Long SS, eds.
Red Book: 2018-2021 Report of the Committee on Infectious Diseases. 31st
ed. Itasca, IL: American Academy of Pediatrics, 2018: 748-62.
3. สำนักระบาดวิทยา
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. Scarlet fever. รายงานโรคในระบบเฝ้าระวัง
๕๐๖. Available
from: http://www.boe.moph.go.th/boedb/surdata/506wk/y61/d74_5261.pdf.
4. สำนักระบาดวิทยา
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. Scarlet fever. รายงานโรคในระบบเฝ้าระวัง
๕๐๖. Available
from: http://www.boe.moph.go.th/boedb/surdata/506wk/y62/d74_3562.pdf.